Advertise Here

ดอกไม้เมืองไทย

- Another Blogger Blog's

Comments: (0)
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Samanea saman.
ชื่อสามัญ : Rain Tree, Monkeypod Tree, Ohai.
วงศ์ : LEGUMINOSAE (The Pea Family.)
ชื่อไทยพื้นเมือง : ก้ามปู, ก้ามกราม, ฉำฉา, สารสา, ลัง

จามจุรีหรือก้ามปูเป็นไม้เนื้ออ่อนยืนต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง สูงประมาณ ๑๐-๑๕ เมตร เปลือกสีคล้ำ แตกสะเก็ดเป็นร่องระแหงโตๆ ตลอดต้น ใบรวมเป็นแผงเรียงขนานคู่กัน ใบแผงหนึ่งๆ ยาวประมาณ ๒๕-๓๕ เซนติเมตร และแตกแขนงใบย่อยออกขนานกันเป็นคู่ๆ ใบแผงหนึ่งๆ มีตั้งแต่ ๗-๑๐ คู่ ใบย่อยรูปกลมรี ปลายใบมน รูปใบมักโค้งเข้าหากันเป็นคู่ ขนาดใบยาวตั้งแต่ ๓-๕ เซนติเมตร

ดอกออกเป็นช่อสั้นๆ ตามยอดปลายกิ่ง มีก้านช่อดอกสีเขียวอ่อนยาวประมาณ ๖-๘ เซนติเมตร ช่อหนึ่งๆ มีดอกตั้งแต่ ๒๕-๓๕ ดอก และมักบานพร้อมกัน ดอกสีชมพูรูปกรวยขนาดเล็กมี ๖ กลีบ แต่จะมีเส้นเกสรตัวผู้ยาวเป็นพู่ฟูล้นดอกออกมา ลักษณะคล้ายแส้เล็กๆ เกสรตัวผู้ตอนบนสีชมพู ตอนล่างสีขาวยาวประมาณ ๔ เซนติเมตร ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกได้ทั้งในฤดูร้อนและฤดูฝน เป็นต้นไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ขึ้นและเติบโตได้เร็วในดินเกือบทุกชนิด

จามจุรี เป็นต้นไม้ที่ประชาชนในภาคเหนือนิยมปลูกไว้เพื่อเลี้ยงครั่ง เนื้อไม้ของจามจุรีนั้นมีลักษณะพิเศษคือมีลวดลายสวยงาม อ่อนเหนียวและเบา จึงนิยมใช้ต่อเป็นลังใส่สินค้าอุตสาหกรรมหนัก จึงเรียกกันว่าลังไม้ฉำฉา ปัจจุบันนิยมใช้ไม้นี้ในงานหัตถกรรมหลายประเภท จากจุรีเป็นไม้ซึ่งมีถิ่นเกิดอยู่ในอเมริกา และนำเข้ามาปลูกในบ้านเราตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕
Comments: (0)
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Schima wallichii.
ชื่อพ้อง : Schima noronhae.
ชื่อสามัญ : Mung-Tan.
ชื่อไทยพื้นเมือง : พังตาน, คายโซ้, กาโซ้, ทะโล้, สารภีป่า

มังตาน ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ๋ มักเกิดตามป่าดงดิบบนเขาทุกภาคทั่วประเทศ มีลำต้นสูงเสลาเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มแน่น เปลือกของลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีจุดสีขาวขุ่นๆ คล้ายละอองประอยู่ตลอดลำต้นและกิ่งก้าน หากใช้มืดฝานเปลือกในเปิดออกจะมองเห็นเสี้ยนของไม้นี้ใสเป็นแวว หากเสี้ยนถูกกระทบผิวหนังจะทำให้เป็นผื่นพุพองได้หรือถ้าเสี้ยนเข้าตาก็อาจตาบอดพิการได้ ต้นไม้นี้ อาจสูงได้ถึง 20 เมตรหรือกว่านั้น

ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับทางกันเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง เนื้อใบหนารีรูปหอกปลายใบแหลมขอบใบเรียบเกลี้ยง ยาวประมาณ 10 เซ็นติเมตรดอดออกเป็นช่อตามง่ามใบตอนปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวมี 5 กลีบ มีเกษรผู้จำนวนมากมายเป็นพู่สีเหลืองรวมกระจุกอยู่ตอนกลางดอก กลีบดอกแต่ละกลีบงองุ้มเข้าหาเกษรเป็นลักษณะคล้ายช้อนขนาดดอกกว้างประมาณ 5-6 เซ็นติเมตร ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกระหว่างเดือน กุมภาพันธุ์-เมษายน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ดเป็นไม้ ที่เพาะง่ายและขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกสภาพ

มังตานเป็นต้นไม้ที่มีค่าในทางเศรษฐกิจสูง เพราะเนื้อไม้มีประโยชน์ในงานก่อสร้าง และในงานหัตกศิลปหลายประเภท ทั้งยังเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์สูงอีกชนิดหนึ่ง นอกจากนี้เปลือกของต้นมังตานก็ยังใช้ทุบแช่น้ำเบื่อปลาได้เช่นเดียวกับโล่ติ้นอีกด้วย
Comments: (0)
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Pluchai indica.
ชื่อสามัญ : Kloo.
วงศ์ : COMPOSITAE. (The Daisy Family.)
ชื่อไทยพื้นเมือง : ขลู, คลู, หนวดงิ้ว, หนาดวัว

ขลู่ เป็นพันธุ์ไม้ของเมืองไทย มักขึ้นอยู่เป็นกอตามป่าละเมาะหรือตามที่ลุ่มริมลำห้วย หนอง ตามริมนา หรือคันนาทั่วไป ขลู่มีลำต้นอวบอ้วน ต้น หรือกิ่งก้านเป็นสีน้ำตาล ผิวเปลือกของลำต้นเรียบเกลี้ยง ต้นสูงประมาณ ๓-๔ ฟุต ใบกลมหนา มีจักริมใบ เนื้อใบสากกระด้าง รูปใบคล้ายใบพุทรา ขนาดใบยาวประมาณ ๓ เซนติเมตร

ดอกมีขนาดเล็กเป็นฝอยละอองสีขาว หรือสีน้ำตาลจางๆ ออกดอกเป็นช่อตามบริเวณยอด ในช่อหนึ่งๆ มีดอกติดกลุ่มกันเป็นแผงเป็นแพ นับจำนวนร้อยๆ ดอก ช่อดอกแผงหนึ่งๆ มีขนาดกว้างประมาณ ๘-๑๐ เซนติเมตร ขลู่ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือเพาะเมล็ด เป็นต้นไม้ที่แพร่พันธุ์ได้ง่าย อยู่ได้ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ออกดอกตลอดปี เติบโตเร็วและขึ้นได้ในสถาพดินเกือบทุกชนิด

ต้นและใบของพืชชนิดนี้เป็นสมุนไพร รักษาโรคได้หลายอย่าง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีผู้นิยมใช้ใบขลู่ตากแดดให้แห้งแล้วนำไปคั่วไฟให้หอม นำไปชงน้ำร้อยแทนใบชารับประทานได้
Comments: (0)
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Alpinia officinarum.
ชื่อสามัญ : Jewelly Ginger.
วงศ์ : ZIGIBERACEAE. (The Ginger Family.)
ชื่อไทยพื้นเมือง : ข่าเล็ก

ข่าลิงเป็นพันธุ์ไม้ป่าของเมืองไทยแต่เป็นข่าขนาดเล็ก ลำต้นขึ้นเป็นกอเกิดจากหัวหรือเหง้าจากใต้ดิน สูงประมาณ ๓๐-๕๐ เซนติเมตร ใบบางสีเขียวรีรูปหอก ปลายใบแหลม กว้างประมาณ ๓-๔ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๘ เซนติเมตร ก้านใบยาว ทำหน้าที่เป็นกาบหุ้มต้น ออกใบสลับทิศทางในระนาบเดียวกัน ต้น หัว หรือใบ มีกลิ่นฉุนแรง และมีรสเย็นกว่าข่าชนิดอื่น

ดอกมีขนาดเล็กออกเป็นช่อตรงบริเวณส่วนยอดของลำต้น เป็นสีส้มสีเหลืองกลัก มองคล้ายละอองอัญมณีพราวระยับงดงามจับตามาก ช่อดอกหนึ่งๆ ยาวประมาณ ๑๐-๒๐ เซนติเมตรหรือยาวกว่านั้น เมื่อดอกแก่เต็มที่หรือบานใกล้จะหมดช่อแล้ว ช่อดอกของข่าลิงจะโค้งห้อยลง

ข่าลิงขยายพันธุ์ ด้วยวิธีการแยกหัวไปปลูก หัวหรือเหง้าของข่าลิงมีขนาดเล็กเท่าหัวกระชาย แต่ยาวประมาณ ๓-๔ เซนติเมตร มักขึ้นอยู่ในป่าดงดิบตามซอกหินริมลำห้วย ในที่อับชื้น แต่ดอกจะดกดื่นมองพรั่งพราวไปทั่วป่าในฤดูฝน ข่าลิงเป็นพืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ทางแก้โรคต่างๆ ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะหัวของข่าลิงใช้เป็นส่วนผสมในการทำแป้งเหล้าได้อีกด้วย
Comments: (0)
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Alpinia speciosa.
ชื่อสามัญ : Shell Ginger.
วงศ์ : ZINGIBERACEAE (The Ginger Family)

ในปัจจุบันนี้มีผู้รู้บางท่านเรียกข่าคน เพี้ยนเป็น "ข่าคม" ไป จึงอยากทำให้เกิดความไขว้เขวได้เพราะความจริงนั้น ข่าคนนี้เป็นจ่าที่คนในป่าในดงในภาคกลาง เช่น จังหวัด สระบุรี ลพบุรี ปราจีนบุรีและนครนายก มักจะเรียกชื่อ เป็นพืชคู่เคียงกับข่าลิง (Alpinia officinarum) มาก่อนแต่นานมาแล้ว เป็นทำนองให้รู้ว่าข่าคนต้นใหญ่กว่าข่าลิงอะไรอย่างนี้

ข่าคนเป็นพันธุ์ไม้ป่าเมืองไทยชนิดนึ่ง ซึ่งมีลำต้นขึ้นหนาแน่นเป็นกอเกิดจากหัวหรือเหง้าในดิน โผล่เป็นลำกลมแข็งขึ้นมาเหนือดิน มีข้อปล้องคาดอยู่เป็นระยะตลอดลำต้น อาจสูงได้ตั้งแต่ ๖-๑๒ ฟุต ใบสสีเขียวสด เนื้อใบหนาทรงเรียวยาวรูปหอกปลายใบแหลมเฉียบ มีก้านใบทำหน้าที่เป็นกาบหุ้มลำต้น ขนาดใบกว้างประมาณ ๓-๔ นิ้ว ยาวตั้งแต่ ๑.๕-๒ ฟุต ดอกออกเป็นช่อมีก้านดอกเป็นลำแข็ง เกิดจากกลางกอ สูงขึ้นไปเกือบระดับเดียวกับความสูงของกอ กลุ่มดอกรวมเป็นช่ออยู่ตอนปลายก้าน ช่อหนึ่งๆ มีดอกตั้งแต่ ๒๐-๓๕ ดอก แต่ละผลัดกันบานครั้งละ ๓-๔ ดอก ช่อดอกหนึ่งๆ ยาวประมาณ ๗-๑๐ นิ้ว ดอกเป็นหลอดรูปกระดิ่งภายนอกสีขาว ภายในสีเหลือง แดง ม่วง เป็นลายสลับกันอยู่สวยงาม ดอกมีขนาดกว้างยาวประมาณ ๔ เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหัวหรือเหง้าไปปลูก เป็นไม้ในที่รำไร ไม่ชอบแสงแดดมาก มักพบขึ้นอยู่ตามป่าดงดิบบนเขาที่มีความชุ่มชื้นสูง และเคยพบประปรายในป่าดงดิบแล้งบางแห่ง
Comments: (0)
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Alpinia siamensis.
ชื่อสามัญ : Thai Ginger.
วงศ์ : ZIGIBERACEAE. (The Ginger Family.)
ชื่อไทยพื้นเมือง : ข่าแกง, ข่าหลวง, ข่าใหญ่, ข่า

ข่าไทย ก็คือข่าที่คนไทยรู้จักนำหัวหรือเหง้ามาปรุงรสและกลิ่นในเครื่องแกงนั่นเอง

ข่าไทยเป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อนขึ้นเป็นกลุ่มเป็นกอ ลำต้นเป็นก้านกลมแข็ง เกิดจากหัวหรือเหง่าซึ่งมีลักษณะเป็นแง่งสีขาวจากใต้ดิน สูงประมาณ ๑๒๐ เซนติเมตร ใบรูปหอกสีเขียวเข้มหนายาวประมาณ ๑๒-๑๕ เซนติเมตร มีก้านใยทำหน้าที่เป็นกาบหุ้มลำต้น ดอกออกเป็นช่อใหญ่ออกดอกตามยอดก้านดอกแข็งดอกมีขนาดเล็กผลัดกันบานครั้งละ ๔-๖ ดอก กลีบดอกมีสีขาวประด้วยจุดสีแดงหรือม่วง ดอกช่อหนึ่งๆ ยาวประมาณ ๑๕-๑๖ เซนติเมตร มีกลิ่นหอมเผ็ดๆ เล็กน้อย มักออกดอกในฤดูร้อน หัวหรือแว่งและต้นอ่อนใช้ต้มรับประทานหรือเป็นอาหารผัดได้อีกด้วย

ข่าไทยเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มากชนิดหนึ่ง ขยายพันธุ์ด้วการแยกหัวหรือเหง้าไปปลูกในดินร่วนซุย ในที่ร่มรำไรซึ่งมีความชุ่มชื้นมากๆ นับว่าเป็นพืชสวนครัวที่สำคัญชนิดหนึ่งของคนไทยมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว และเป็นพันธุ์ไม้ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในป่าเมืองไทยนี้เอง จึงได้ชื่อในทางพฤกษศาสตร์ว่า "ข่าไทย"
Comments: (0)
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Leea rubra.
ชื่อสามัญ : Ka-Tung-Bi.
วงศ์ : VITACEAE. (The Grape Family.)
ชื่อไทยพื้นเมือง : เขือง, คะนางใบ, ตองด้อม

แต่เดิมนักพฤกษศาสตร์จัดอันดับกะตังใบไว้ในวงศ์ LEEACEAE ภายหลังคงเห็นว่าพืชในวงศ์นี้มีอยู่เพียงสกุลเดียว คือสกุลเลีย (Genus Leea) และมีอยู่เพียงไม่มากชนิดนัก หรือจะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบแน่ชัด นักพฤกษศาสตร์จึงยกพันธุ์ไม้ในวงศ์นี้ไปรวมอยู่ในวงศ์เดียวกับพืชจำพวกองุ่น ซึ่งมีรูปวิธานในชีวพฤกษ์ลม้ายใกล้เคียงกันให้ได้รวมอยู่ในวงศ์เดียวกันเสียเลย กะตังใบจึงถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ VITACEAE นับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นต้นมา ส่วนวงศ์สีเอชิอี้นั้นก็เป็นอันว่ายุบยกเลิกกันไป

กะตังใบ เป็นพืชซึ่งกระจากยพันธุ์อยู่ในเขตร้อนหลายแห่ง เช่นในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา เป็นต้น เป็นพันธุ์ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ ๑-๒ เมตร ลำต้นและกิ่งก้านเป็นเหลี่ยมเฟือง อาจเป็นได้ตั้งแต่ ๘-๑๐ เหลี่ยม ใบรวมเป็นแผงๆ ละ ๕ ใบ รูปใบบางแต่หยาบระคาย ขอบใบเป็นจักละเอียด รูปใบมนรี ปลายใบแหลม ขนาดใบยาวประมาณ ๖-๘ เซนติเมตร แผงใบหมู่หนึ่งๆ ยาวประมาณ ๑-๑.๕ ฟุต

ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอด ก้านช่อดอกชูยาวเป็นก้านเฟืองสีแดงคล้ำ ในก้านช่อดอกแต่ละช่อยังแตกแขนงเป็นช่อย่อยได้อีกมากมายหลายช่อ และมีดอกขนาดเกสีแดงเข้มอัดเรียงแน่นอยู่เป็นแพ เป็นพันธุ์ไม้มีดอกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยการตัดกิ่งปักชำ หรือเพาะเมล็ด ผลของกะตังใบ มีลักษณะเป็นพูสามพูคล้ายผลมะยม เมื่อแก่จัดจะเป็นสีดำเข้ม พันธุ์ไม้ชนิดนี้มีขึ้นอยู่ทั่วไปกือบทุกภาคของประเทศไทย และเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งอีกด้วย